Support
Doodee
0996382854
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ
 userfiles/profile-picture/a8ca9517-32af-453b-b341-652d6f221d14/ดูดี1.jpg

Post : 2013-08-18 00:03:25.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  การดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ

 

การดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ

ประโยชน์สุขจากการดื่มน้ำอย่างเพียงพอ 

“ดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ” ร่างกายของคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่ถึง 75% ของน้ำหนักตัว เราอาจจะอดอาหารได้เป็นเดือน ๆ แต่ร่างกายไม่สามารถขาดน้ำได้เกินกว่า 3 -7 วัน การดื่มน้ำอย่างถูกต้อง จะช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติ และมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น ขณะเดียวกันการขับถ่ายของเสียก็ทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ใบหน้าชุ่มชื่น มีเลือดฝาด และไม่ปวดหลังหรือบั้นเอว เพราะสุขภาพไตแข็งแรง การดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว จะช่วยทำให้ปริมาณไขมันในร่างกายลดลง อาจเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่น้ำจะเป็นสิ่งสำคัญที่มีส่วนช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะต้องดื่มน้ำเพราะความจำเป็น แต่ในความเป็นจริงน้ำเป็น "อาหารอันวิเศษ " ที่ช่วยในการดูแลรูปลักษณ์อย่างถาวร 

น้ำที่ควรดื่ม 
ควรเป็นน้ำธรรมดาไม่เป็นน้ำที่ร้อนมากหรือที่เย็นจัด แต่ถ้าเป็นน้ำอุ่นๆ เล็กน้อย ก็ควรดื่มในตอนเช้าเพราะจะให้การขับถ่ายดีขึ้น ลำไส้สะอาด 

ระยะเวลาที่ดื่มน้ำ ใน 1 วัน อาจจะเปลี่ยนแปลงให้เหมาะกับตัวเอง 

ตื่นนอนตอนเช้า ดื่มน้ำ 1 แก้ว 
ตอนสาย ดื่มน้ำ 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9.00 – 10.00 น) 
ตอนบ่าย ดื่มน้ำ 3 แก้ว (เวลาประมาณ 13.00 – 16.00 น) 
ตอนเย็น ดื่มน้ำ 3 แก้ว (เวลาประมาร 19.00 – 20.00 น) 
ก่อนเข้านอน ดื่มน้ำ 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ถ้าเป็นน้ำอุ่นจะช่วยให้หลับสบายดีขึ้น รวมแล้วให้สามารถดื่มน้ำเปล่าได้วันละ 10 แก้ว นอกเหนือจากนั้น ท่านสามารถดื่มน้ำนม น้ำผลไม้, ฯลฯ ได้อีกไม่จำกัด 

เคล็ดลับการดื่มน้ำแบบง่ายๆที่ท่านสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ตามขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่ 1. ดื่มน้ำให้เพียงพอกับน้ำหนักตัว 
ร่างกายคนเรานั้นต้องประกอบด้วยน้ำ 60-70% เมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวเรา ตามสูตรที่องค์การอนามัยโลกได้กำหนดเอาไว้ คนเราในแต่ละวันต้องดื่มน้ำให้ได้ปริมาณที่เหมาะสมกับน้ำหนักของตัวเอง วิธีคำนวณก็คือ



เท่ากับว่าถ้าท่านหนัก 60 กิโลกรัม ต้องดื่มน้ำให้ให้ประมาณ 1.9 ลิตรต่อวัน หรือ เกือบ 10 แก้วนั่นเอง 

ขั้นตอนที่ 2. ดื่มน้ำตอนเช้าหลังตื่นนอน 
ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 4 แก้ว ( 640 ซีซี )ดื่มน้ำอุ่นๆได้ยิ่งดี เพราะน้ำอุ่นนั้นดื่มง่ายกว่าน้ำธรรมดา และอุณหภูมิของน้ำที่ดื่มไม่ต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกาย ไม่เป็นการไปดึงอุณหภูมิของร่างกายให้เย็นลง เพราะน้ำลายบูดที่สะสมมาตั้งแต่ขณะนอนหลับ มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ สามารถฆ่าจุลินทรีย์พิษในทางเดินอาหาร และช่วยในการขับถ่ายให้เป็นปกติ 

ขั้นตอนที่ 3.ดื่มน้ำให้ถูกเวลา 
ควรดื่มน้ำก่อนรับประทานอาหาร 45 นาที หลังจากนั้นจึงรับประทานอาหารได้ตามปกติ เมื่อรับประทานอาหารแล้วไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานอะไร จนกว่า 2 ชั่วโมงผ่านไป เพราะการดื่มน้ำมากระหว่างรับประทานอาหารจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเจือจางการย่อยเป็นไปได้ไม่ดี 

ขั้นตอนที่ 4.ดื่มน้ำระหว่างวัน 
10.00น. 14.00น. 16.00น. 

ขั้นตอนที่ 5.ดื่มน้ำก่อนนอน 
ดื่มน้ำอุ่นๆ 1 แก้ว 

ขั้นตอนที่ 6.หลีกเลี่ยงน้ำเย็น น้ำอัดลม 
อุณหภูมิโดยปกติของร่างกายคนเรานั้นอยู่ที่ 36-37 องศาเซลเซียส ถ้าเราดื่มน้ำเย็นๆ สัก 2 องศาเซลเซียส น้ำเย็นจะต้องไปดึงความร้อนของร่างกายมาทำให้อุณหภูมิของน้ำเท่ากับร่างกาย การดูดซึมจึงจะทำงานได้ ทำให้ร่างกายสูญเสียพลังงานและเสียเวลาในการปรับสมดุลให้คืนสู่ปกติ 

ข้อควรจำ 

•ไม่จำเป็นต้องดื่มครั้งละ 2 – 3 แก้วติดต่อกันทันที ดื่มตามปรกติสบายๆ ผู้ที่ทำตามครั้งแรก ๆ อาจรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย เป็นอาการปรกติธรรมดา ทั้งนี้เพราะผนังลำไส้ และกระเพาะอาหารขยายตัวขึ้น หากทำติดต่อกันเป็นประจำก็จะไม่มีอาการอีก 

•ระยะแรก จะเกิดการปัสสาวะบ่อย ครั้งแรกๆ จะมีสีเหลืองข้นขุ่นกลิ่นฉุน เนื่องจากน้ำที่ดื่มไปชะล้างไตให้สะอาด 

•อย่าดื่มน้ำมากก่อนหน้าที่จะรับประทานอาหาร ( ควรงดดื่มน้ำมากสักครึ่งชั่วโมงก่อนรับประทานอาหาร) และหลังจากรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆ ก็ไม่ควรดื่มน้ำมากๆ ทันที ในระหว่างการรับประทานอาหารไม่ควรดื่มน้ำตลอดเวลา เพราะการดื่มน้ำมากในระหว่างรับประทานอาหารจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง การย่อยเป็นไปได้ไม่ดี 

•การทานอาหารในแต่ละมื้อไม่ควร อิ่มจนแน่นท้องเกินไปควรให้อิ่มพอดีแล้วรับประทานผลไม้สดจะทำให้สะอาดคอ แล้วจิบน้ำตามนิดหน่อยท่านจะรู้สึกสบายท้องหลังจากนั้นสักครึ่งชั่วโมง จึงดื่มน้ำตามปรกติ 

เอกสารอ้างอิง 
1.AGU ธันวาคม 1995 (linked 4/2007) น้ำจำเป็นต่อชีวิต 
2.นิตยาสารใกล้หมอ ปีที่ 31 ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม 
3.www.the-arokaya.com 
4.นวลฉวี ทรรพนันทน์.นาฬิกาชีวิต.กรุงเทพฯ,บริษัทฟ้าอภัย 
5. www.dwr.go.th

----------------------------------------------

ที่มา www.kapook.com

 userfiles/profile-picture/a8ca9517-32af-453b-b341-652d6f221d14/ดูดี1.jpg

Post : 2013-08-17 23:55:59.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  9 วิธี แก้โรคนอนไม่หลับ

 

9 วิธี แก้โรคนอนไม่หลับ

          อ่อนเพลียเนื่องจากนอนไม่หลับในตอนกลางคืน และตื่นขึ้นด้วยอาการอิดโรยในตอนเช้า ต่อไปนี้คือวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยกำจัดความทุกข์ตอนนอนให้หายไป แล้วคืนนี้จะได้นอนหลับสบาย 

          1. งดเครื่องดื่มกาแฟ เป็นที่ทราบกันว่าคาเฟอีนมีสารกระตุ้นที่ทำให้นอนไม่หลับ แต่รู้ไหมว่าสารดังกล่าวยังตกค้างอยู่ในร่างกายอีกด้วย?  ดังนั้นทางที่ดี คือ กำจัดมันออกไปจากอาหารที่คุณกินหรืองดดื่มคาเฟอีนตั้งแต่มื้อเที่ยงเป็นต้นไป อย่าลืมคาเฟอีนที่ซ่อนอยู่ในน้ำอัดลม และของว่างต่าง ๆ เช่น โค้ก ช็อกโกแลต เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้นอนไม่หลับ อ่านฉลากข้างกระป๋อง และข้างถุงผลิตภัณฑ์ให้ละเอียด ดื่มชาสมุนไพร เช่น ชาคาโมมาย์ล หรือชาดอกมะนาว ที่ช่วยให้จิตใจผ่อนคลายแทนชาหรือกาแฟ เนื่องจากในชาทั้งสองชนิดนี้มีสารที่ช่วยให้จิตใจสงบเยือกเย็น และปลอดคาเฟอีน


          
2. อาบน้ำก่อนนอน การแช่ตัวในน้ำอุ่นก่อนนอน จะช่วยให้จิตใจผ่อนคลายจากความเครียดทั้งปวง แต่อย่าแช่น้ำนานเกินไป เพราะแทนที่จะหายเครียดกลับเครียดหนักขึ้น เนื่องจากการแช่ตัวในน้ำร้อนนานเกิน จะทำให้ผิวสูบเสียความชุ่มชื่น ดูไม่มีชีวิตชีวา เพื่อช่วยให้หลับสบาย อย่าลืมหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์2-3 หยด ลงในน้ำที่อาบ หรือจะใช้น้ำนมอาบน้ำ

 

          3. จัดห้องให้น่านอน แปลงโฉมห้องนอนให้เป็นที่ที่คุณอยากใช้เวลาอยู่นานๆ จัดข้าวของที่ระเกะระกะให้เข้าที่ ทำห้องให้มีกลิ่นหอมด้วยการวางถุงกลิ่นลาเวนเดอร์ และแจกันดอกไม้สด จัดห้องนอนให้มีแสงสลัว ๆ โปร่ง และอากาศถ่ายเทได้ดี หาอะไรปิดส่วนที่เรืองแสงของนาฬิกาปลุก ซึ่งนอกจากจะให้แสงสว่างเป็นพิเศษแล้ว ยังทำให้เราหันความสนใจไปที่นาฬิกาตลอดทั้งคืน ตั้งเครื่องปรับอากาศที่อุณหภูมิพอเหมาะ ประมาณ 25 องศาเซลเซียส ซึ่งทำให้ห้องเย็นสบายกำลังดี

 

          4. สมุนไพรพึ่งได้  มีสมุนไพรหลายตัว โดยเฉพาะสมุนไพรจีนช่วยคลายเครียด ทำให้นอนหลับได้ดี เช่น ถั่งเฉ้า มีลักษณะเป็นแท่งยาว ๆ มีสีเหลืองเป็นมันเงา ประกอบด้วยวิตามินบี 12 โปรตีน กรดไขมัน ทั้งอิ่มตัว และไม่อิ่มตัว มีสรรพคุณช่วยระงับประสาท ทำให้นอนหลับสนิท พุทราจีน เป็นผลไม้บำรุงสุขภาพที่ดีของคนจีน สามารถกินได้ทั้งสดและแห้ง แก้อาการนอนไม่หลับ เนื้อในเมล็ดช่วยผ่อนคลายประสาท ทำให้นอนหลับสบาย โสม จัดเป็นสมุนไพรจีนที่ใช้รักษาโรคมากกว่า 2,000 ปี สารไบโอแอคทีฟ (bioactive) ในโสมช่วยแก้โรคนอนไม่หลับ และรักษาโรคความจำเสื่อม ลดความเครียด ดอกไม้จีนหรือจำฉ่ายเป็นพืชล้มลุกตระกูลเดียวกับลิลลี่ เกสรดอกไม้จีนมีสรรพคุณช่วยบำรุงประสาท ช่วยให้ผ่อนคลาย ทำให้สดชื่น และมีฤทธิ์เป็นยานอนหลับอ่อน ๆ จึงช่วยให้หลับสบาย   

          5. ยืดเส้นยืดสาย คนที่เคลื่อนไหวร่างกายขณะทำงานในระหว่างวัน จะมีปัญหาในการนอนน้อยกว่าคนที่นั่งปักหลักอยู่กับโต๊ะทำงาน การออกกำลังกายแค่วันละ15 นาที จะช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจน ทำให้ผ่อนคลาย และนอนหลับง่ายขึ้น ระหว่างวันควรออกไปเดินเล่นในสวน หรือเดินยืดเส้นยืดสายหลังอาหารเย็น หลังเดินออกกำลังแล้ว ให้พักประมาณครึ่งชั่วโมง จึงค่อยเข้านอน ทั้งนี้เพื่อให้อัตราการเต้นหัวใจและร่างกายทำงานช้าลงก่อนถึงจะสามารถเข้านอนได้

 

          6. กินอย่างถูกต้อง การเข้านอนขณะท้องหิว หรืออิ่มแปล้จะไปรบกวนการนอน ซึ่งรวมถึงการกินอาหารก่อนนอนด้วย ไม่ควรกินอาหารเย็นหลัง ทุ่ม และถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเหลี่ยงโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เพราะจะเป็นเหมือนยาชูกำลังที่ไปกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมน ที่ทำให้ร่างกายเกิดความคึกคัก กินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้ง อาหารเย็นควรเป็นข้าว มันฝรั่ง พาสต้า ผัก ที่มีรากเป็นลำต้นใต้ดิน ถั่วต่าง ๆ อาหารเหล่านี้ทำให้ร่างกายผลิตเซโรโตนิน ที่ช่วยในการนอนหลับ

 

          7. เอนตัวลง และทำจิตใจให้ผ่อนคลาย เปิดเพลงทำนองเบาๆ ฟังสบายๆ ขณะนอน หรือจะเปิดเทปบันทึกเสียงธรรมชาติที่ให้ความรู้สึกสงบ เยือกเย็น เช่น เสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง ปิดไฟในห้องนอน นอนซุกตัวใต้ผ้าห่ม ปล่อยให้เสียงนั้นขับกล่อมคุณ จากนั้นหายใจลึกๆ ช้าๆ เพ่งสมาธิไปที่แขนขาแต่ละข้าง โดยเริ่มจากที่เท้า จินตนาการว่าแขนขานั้นจมหายลงไปในเตียง ควรใช้เครื่องเล่นเทป หรือซีดีที่ปิดเองอัตโนมัติ เพราะจะได้ไม่ต้องลุกขึ้นมาปิดเวลาเคลิ้มๆ ใกล้จะหลับ 
 

          8. ลุกขึ้นเดิน หากตื่นขึ้นกลางดึก และไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ภายใน 30 นาที จงลุกขึ้น อย่านอนกระสับกระส่ายพลิกตัวไปมา รอเวลาจนเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น เพราะนั่นจะทำให้รู้สึกหงุดหงิด อย่าเปิดทีวี อ่านหนังสือ หรือนั่งบนเตียงคิดเรื่องที่ยังติดค้างอยู่ในสมอง แม้นั่นจะเป็นวิธีฆ่าเวลายามนอนไม่หลับ แต่ไม่ควรทำ คุณจำเป็นต้องฝึกให้ร่างกายรับรู้ว่าเตียงนอนใช้เป็นที่สำหรับนอน แม้ว่าสิ่งที่คุณทำบนเตียงจะเป็นกิจกรรมสบายๆ ประเภทดูหรือฟังก็ตาม เพราะนั่นสามารถเข้าไปกระตุ้น หรือรบกวนจิตใจได้ หากตื่นขึ้นกลางดึก ให้ลุกจากเตียงไปเอนหลังบนโซฟา หรือเก้าอี้ตัวโปรดที่นั่งสบายๆ หลับตาลง ทำจิตใจให้สบายจนรู้สึกง่วงแล้วจึงค่อยลับไปนอนที่เตียง

 

          9. มหัศจรรย์แห่งนม ตอนเด็กๆ แม่จะให้เราดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอน เพราะในนมมีกรดอะมิโนที่เรียกว่า ทรัยป์โตฟาน ช่วยให้นอนหลับสบาย และยังมีแคลเซียมสูง ช่วยผ่อนคลายประสาท ทำให้จิตใจสบาย บางคนบอกว่าการดื่มนมอุ่นๆ ช่วยคลายเครียด และหายอ่อนเพลีย จากการศึกษาวิจัยพบว่า เมลาโทนิน (melatonin) ช่วยให้นอนหลับ โดยเฉพาะนมที่รีดจากแม่วัวตอนเช้ามืด เพราะเป็นช่วงเวลาที่นมวัวมีเมลาโทนินสูงสุด

 

ข้อมูลจาก : HealthPlus

 userfiles/profile-picture/a8ca9517-32af-453b-b341-652d6f221d14/ดูดี1.jpg

Post : 2013-08-17 23:45:06.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  กินกล้วยวันละ 2 ผล เกิดประโยชน์มหาศาล

 

 

     ถ้าต้องการให้ระดับพลังงานที่หย่อนยานลงให้กลับคืนมาอย่างรวดเร็วไม่มีอาหารว่างใดดีไปกว่ากล้วย อุดมด้วยน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรุคโทส และกลูโคส รวมกับเส้นใยและกากอาหาร กล้วยจะช่วยเสริมเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายทันทีทันใด จากงานวิจัยพบว่ากินกล้วยแค่ 2 ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอ กับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที

จึงไม่น่าแปลกใจที่กล้วยเป็นผลไม้อันดับหนึ่งของนักกีฬาชั้นนำระดับโลก ไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มพลังงานเท่านั้นยังช่วยเอาชนะ และป้องกันโรคต่าง ๆ ที่จะเกิดกับร่างกายได้อีกหลายโรค จึงควรรับประทานทุกวัน

1. โรคโลหิตจาง
 ในกล้วยมีธาตุเหล็กสูงจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด และจะช่วยในกรณีที่มีสภาวะขาดกำลัง หรือภาวะโลหิตจาง

2. โรคความดันโลหิตสูง มีธาตุโปรแตสเซียมสูงสุด แต่มีปริมาณเกลือต่ำ ทำให้เป็นอาหารที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่จะช่วยความดันโลหิตมาก อย.ของอเมริกายินยอมให้อุตสาหกรรมการปลูกกล้วยสามารถโฆษณาได้ว่า กล้วยเป็นผลไม้พิเศษช่วยลดอันตรายอันเกิดจากเรื่องความดันโลหิตหรือโรคเส้นเลือดฝอยแตก

3. กำลังสมอง นักเรียน 200 คน ที่โรงเรียน Twickenham ได้รับผลดีจากการสอบตลอดปีนี้ ด้วยการรับประทานกล้วยในมื้ออาหารเช้า ตอนพัก และมื้ออาหารกลางวันทุกวัน เพื่อช่วยส่งเสริมกำลังของสมองในพวกเขา จากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า ปริมาณโปรแตสเซียมที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในกล้วย สามารถให้นักเรียนมีการตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น

4. โรคท้องผูก ปริมาณเส้นใยและกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วยช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยแก้ปัญหาโรคท้องผูก โดยไม่ต้องกินยาถ่ายเลย

5. โรคความซึมเศร้า จากการสำรวจเร็ว ๆ นี้ ในจำนวนผู้ที่มีความทุกข์เกิดจากความซึมเศร้าหลายคน จะมีความรู้สึกที่ดีขึ้นมากหลังการกินกล้วย เพราะมีโปรตีนชนิดที่เรียกว่า try potophan เมื่อสารนี้เข้าไปในร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็น serotonin เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตัวผ่อนคลายปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้นได้ คือทำให้เรารู้สึกมีความสุขเพิ่มขึ้นนั่นเอง

6. อาการเมาค้าง วิธีที่เร็วที่สุดที่จะแก้อาการเมาค้าง คือ การดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา

7. อาการเสียดท้อง กล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกายของเรา ถ้าปัญาเกี่ยวกับอาการเสียดท้อง ลองกินกล้วยสักผล คุณจะรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเสียดท้องได้

8. ความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า การกินกล้วยเป็นอาหารว่างระหว่างมื้ออาหาร จะรักษาระดับน้ำตาลในเส้นเลือดให้คงที่ เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า

9. ยุงกัด ก่อนใช้ครีมทาแก้ยุงกัด ลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด มีหลายคนพบอย่างมหัศจรรย์ว่า เปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้

10. ระบบระสาท ในกล้วยมีวิตามินบี สูงมาก ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลงได้ โรคน้ำหนักเกินและโรคที่เกิดในที่ทำงาน จากการศึกษาของสถาบันจิตวิทยาในออสเตรียค้นพบว่า ความกดดันในที่ทำงานเป็นเหตุนำไปสู่การกินอย่างจุบจิบ เช่นอาหารพวกช็อคโกแล็ต และอาหารประเภททอดกรอบต่าง ๆ ในนจำนวนคนไข้ 5,000 คน ในโรงพยาบายต่าง ๆ นักวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่เป็นโรคอ้วนมากเกินไป และส่วนใหญ่ทำงานภายใต้ความกดดันสูงมาก จากรายงานสรุปว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการตื่นตระหนกและนำไปสู่การกินอาหารอย่างบ้าคลั่ง เราจึงต้องควบคุมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด ด้วยการกินอาหารว่างที่มีปริมาณคาร์โบโฮเดรตสูง เช่น กินกล้วยทุก 2 ชั่วโมง เพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลให้คงที่ตลอดเวลา ไม่ต้องคำนึงถึงเรื่อยยา การกินกล้วยที่มีวิตามินบี 6 ซึ่งประกอบด้วย สารควบคุมระดับกลูโคสที่สามารถมีผลต่ออารมณ์ได้

11. โรคลำไส้เป็นแผล กล้วยเป็นอาหารที่แพทย์ใช้ควบคุม เพื่อต้านทานการเกิดโรคลำไส้เป็นแผล เพราะเนื้อของกล้วยมีความอ่อนนิ่มพอดี เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ทานได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคลำไส้เรื้อรัง และกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ทำให้ลดการระคายเคือง และยังไปเคลือบผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย

12. การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ในวัฒนธรรมของหลายแห่งเห็นว่ากล้วย คือผลไม้ที่สามารถทำให้อุณหภูมิเย็นลงได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะอุณหภูมิของอารมณ์ของคนที่เป็นแม่ที่ชอบคาดหวัง ตัวอย่างในประเทศไทย จะให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์รับประทานกล้วยทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่า ทกรกที่เกิดมาจะมีอุณหภูมิเย็น

13. ความสับสนของอารมณ์เป็นครั้งคราว กล้วยสามารถช่วยในเรื่องของอารมณ์และความสับสนได้ เพราะในกล้วยมีสารตามธรรมชาติ try potophan ทำให้อารมณ์ดี

14. การสูบบุหรี่ กล้วยสามารถช่วยคนที่กำลังพยายามเลิกสูบบุหรี่ เนื่องจากในกล้วยมีปริมาณของวิตามินซี เอ บี6 และบี 12 ที่สูงมาก และยังมีโปรแตสเซียมกับแมกนีเซียม ที่ช่วยทำให้ร่างกายฟื้นคืนตัวได้เร็ว อันเป็นผลจากการลดเลิกนิโคตินนั่นเอง

15. ความเครียด โปรแตสเซียมเป็นสารอาหารสำคัญ ที่ช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติ การส่งออกซิเจน ไปยังสมอง และปรับระดับน้ำในร่างกาย เวลาเกิดอารมณ์เครียด อัตรา metabolic ในร่างกายของเราจะขึ้นสูง และทำให้ระดับโปรแตสเซียมในร่างกายของเราลดลง แต่โปรแตสเซียมที่มีอยู่สูงมากในกล้วยจะช่วยให้เกิดความสมดุล

16. เส้นเลือดฝอยแตก จากการวิจัยที่ลงในวารสาร “The New England Journal of Medicine” การกินกล้วยเป็นประจำสามารถลดอันตรายที่เกิดกับเส้นโลหิตแตกได้ถึง 40%

17. โรคหูด การรักษาหูดด้วยวิธีทางเลือกแบบธรรมชาติ โดยการใช้เปลือกของกล้วยวางปิดลงไปบนหูด แล้วใช้แผ่นปิดแผลหรือเทปติดไว้ให้ด้านสีเหลืองของเปลือกกล้วยออกด้านนอก ก็จะสามารถรักษาโรคหูดให้หายได้

เห็นหรือไม่ว่า กล้วยรักษาโรคต่าง ๆ อย่างธรรมชาติได้มากมาย ท่านควรลองพิสูจน์ด้วยตัวเองบ้าง ว่าจะได้ผลตามที่กล่าวหรือไม่ และเมื่อเปรียบเทียบแอปเปิ้ลแล้ว กล้วยมีโปรตีนมากกว่าแอปเปิ้ล 4 เท่า มี คาร์โบรไฮเดรตมากกว่า 2 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่า 3 เท่า มีวิตามินเอ และธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่า และมีวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุอื่น มากกว่าอีก 2 เท่า และกล้วยยังอุดมด้วยโปรแตสเซียม กล้วยจึงเป็นหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุด

ดังนั้น ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เคยกินแอปเปิ้ลวันละผลทุกวันไม่ต้องไปหาหมอ หันมาคุ้นเคยกับคำว่า  “กินกล้วยวันละผล ก็ไม่ต้องไปหาหมอ” นอกจากนี้มีคนที่เคยเป็นตะคริวที่เท้า ข้อเท้า และน่อง แนะนำให้กิน กล้วยทุกวัน ตั้งแต่นั้นมาไม่เป็นตะคริวอีกเลย และหายไป


ที่มา www.kapook.com
(มาจากวารสารสารอโศก อันดับ 261 มิถุนายน 2546 ISSN

 userfiles/profile-picture/a8ca9517-32af-453b-b341-652d6f221d14/ดูดี1.jpg

Post : 2012-12-17 22:04:22.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  วิธีลดความอ้วนค่ะ ^^

1. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่พยามยามลดอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และไขมัน และไม่ควรงดมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะอาจทำให้คุณรับประทานอาหารมื้อถัดไปมากขึ้น ที่สำคัญควรรับประทานประเภทผักใบเขียว เพราะจะมีใยอาหารอยู่มาก 


2. พยายามดื่มน้ำก่อนอาหาร เพื่อถ่วงกระเพาะอาหาร ซึ่งจะทำให้ทานอาหารได้น้อยลง หรือเลือกรับประทานใยอาหารก่อนอาหารประมาณ
ครั้งชั่วโมงแทน 


3. เพื่อผลทางจิตวิทยา ควรใช้ภาชนะเล็ก ลง โดยมีปริมาณอาหารเท่าเดิมเพื่อใ
ห้ดูว่ามีอาหารมากขึ้น และควรใช้ช้อนขนาดเล็กเพื่อจะได้รับประทานช้าลง ที่สำคัญควรฝึกเคี้ยวช้า ๆ จะทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง และรู้สึกอิ่มได้เร็วขึ้น 


4. หาเวลาออกกำลังกายที่เหมาะสมมาก
ขึ้น มัก มีความเชื่อผิด ๆ กันว่า การออกกำลังกายมากขึ้นจะทำให้หิวเร็วและรับประทานอาหารมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว การที่ไม่ได้ออกกำลังกายจะทำให้รู้สึกเบื่อหน่าย จึงมักขจัดความเยื่อนี้ด้วยการรับประทาน การออกกำลังกายจึงเป็นวิธีช่วยลดความเบื่อหน่าย และเพิ่มการใช้พลังงานเพื่อเผาผลาญไขมันสะสมให้ลดน้อยลง 


5. สร้างสิ่งจูงใจ หรือทัศนคติดี ๆ ต่อพฤติกรรมใหม่ ๆ เช่น การเขียนข้อความเกี่ยวกับการลดค
วามอ้วน หรือชุดสวย ๆ ในสมัยก่อนที่เคยใส่ได้ เพื่อให้เห็นถึงเป้าหมาย และสามารถกระตุ้นหรือจูงใจให้มีความพยายามมากขึ้น และที่สำคัญที่สุด พยายามพักผ่อนให้มาก ๆ ไม่มีประโยชน์เลย ถ้ามีรูปร่างที่สวยงามอย่างที่ต้องการ แต่ต้องอาศัยอยู่ในโรงพยาบาล เนื่องจากสุขภาพไม่ดี

 

 

 

 userfiles/profile-picture/a8ca9517-32af-453b-b341-652d6f221d14/ดูดี1.jpg

Post : 2012-12-17 22:01:06.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  10 อันดับการลดน้ำหนักทันใจแบบง่ายๆ

 เชื่อว่าคงไม่มีสาว ๆ คนไหนในโลกนี้ไม่อยากมีหุ่นผอมเพรียว เพราะฉะนั้นหลายคนจึงตั้งหน้าตั้งตาลดน้ำหนักอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งอดอาหาร ออกกำลังกายอย่างหนัก ซึ่งวิธีการเหล่านี้ล้วนสร้างความลำบากให้คุณสาว ๆ ไม่น้อย แต่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า จริง ๆ ยังมีอีกหลายวิธีที่ลดน้ำหนักได้ง่าย ๆ ภายในเวลาอันรวดเร็ว หากคุณเข้มงวดกับตัวเอง และเอาจริงเอาจัง ลองไปดูกันครับ ว่าทีมงาน toptenthailand มีวิธีไหนเจ๋ง ๆ มาแนะนำให้เพื่อนได้อ่านกันบ้าง

 
10 อย่าปล่อยให้ตัวเองว่าง
 
เริ่มต้นอันดับที่ 10 ของทีมงาน toptenthailand หากิจกรรมอย่างอื่นทำซะ อาจจะดูโทรทัศน์ ดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ ทำงานบ้าน เลือกกิจกรรมที่ทำให้คุณแฮปปี้ เพราะถ้าคุณปล่อยตัวเองให้ว่าง อาจเกิดความรู้สึกเบื่อ ทีนี้ล่ะ คุณจะเริ่มหันไปหาของกินแล้ว อ้วนแน่ๆรับรอง!!
 
 
9 เลือกจานข้าวใบเล็ก ๆ ก็พอ
 
มาที่อันดับที่ 9 ของทีมงาน toptenthailand ยิ่งพื้นที่จานเล็กเท่าไหร่ คุณก็จะทานอาหารได้น้อยกว่าจานใหญ่แน่นอน แม้จะเป็นอาหารชนิดเดียวกัน หากนึกภาพไม่ออกลองคิดง่าย ๆ เวลาทานอาหารจานหนึ่งหมดแล้ว เราจะรู้สึกว่า กินหมดจานและอิ่มดีกว่า นั้นเท่ากับเราไม่ได้ทานเยอะไงล่ะ นอกจากว่าเราจะก็ขอเบิ้ลจานที่สองหรือเติมข้าวเพิ่ม อันนั้นก็อ้วนอยู่ดี อิอิ
 
 
8 เต้นไปพร้อมกับฟังเพลง
 
เคล็ดลับในอันดับที่ 8 ของทีมงาน toptenthailand อย่านั่งฟังเพลงเฉย ๆ ลุกขึ้นมาเต้นตามจังหวะเพลงโปรดไปด้วยดีกว่า จะเต้นท่าไหนยังไงก็ตามแต่คุณถนัด พยายามเต้นให้ได้อย่างน้อย 15 นาที ก็ไม่มากนะ แค่ 4-5 เพลงเองจริงม่ะ
 
 
7 หาเพื่อนที่กำลังลดความอ้วนเหมือนกัน
 
ต่อมาอันดับที่ 7 ของทีมงาน toptenthailand หาใครสักคนนึงที่กำลังอยากลดน้ำหนักหรืออยากมีหุ่นสลิมเชฟเหมือนกัน ทานไปด้วยกัน ควบคุมน้ำหนักด้วยกัน ทำกิจกรรมหลายๆอย่างไปพร้อมๆกัน จุดประสงค์เดียวกันสองแรงแข็งขันจะทำให้เกิดแรงกระตุ้นให้สามารถเอาชนะความอ้วนได้แบบคูณสองเลยนะเนี่ย!!
 
 
6 ดื่มน้ำเยอะ ๆ ในแต่ละวัน
 
อันดับที่ 6 ของทีมงาน toptenthailand เป็นวิธีง่ายๆ เพราะผลการวิจัยบอกว่า น้ำจะช่วยเร่งระบบเผาผลาญ แถมหากดื่มน้ำก่อนมื้ออาหารเที่ยงยังช่วยให้เราทานอาหารได้น้อยลงด้วย เราควรดื่มน้ำเปล่าให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว จะดีมากๆ
 
 
5 อย่าตามใจปาก
 
อันดับที่ 5 ของทีมงาน toptenthailand ห้ามยากอยู่นะ บางคนอดใจไม่ไหว เห็นแล้วมันอยากกะสวาปามให้เรียบ โดยเฉพาะกับอาหารแคลอรีสูงทั้งหลายที่คุณชอบ เค้กเอย ขนมหวาน พิซซ่า สปาเกตตี้ พวกนี่แหละตัวดีเลย แต่ถ้าอยากทานจริง ๆ ก็พยายามเลือกที่ทำด้วยชีสไขมันต่ำหรือพวก low-fat ก็พออนุโลมได้
 
 
4 เดินสูดอากาศนอกบ้าน
 
อันดับที่ 4 ของทีมงาน toptenthailand ไม่ใช่วิธีที่ยุ่งยากอะไรเลย ถ้าวันไหนแดดร่มลมตก อากาศดี ๆ ลมพัดสบาย ๆ ลองออกไปเดินสูดอากาศนอกบ้านดูบ้างเป็นไง ถ้าไม่มีเวลามากพอ เดินสัก 10 นาที แค่ทำใจให้สบายๆกับอากาศดีๆ ก็ช่วยได้เยอะแล้วนะ
 
 
3 ออกกำลังกาย
 
มาถึงอันดับที่ 3 ของทีมงาน toptenthailand เมื่อพูดถึงการออกกำลังกาย สาว ๆ หลายคนอาจทำหน้าเซ็ง นึกถึงความเหนื่อยหนักยุ่งยาก และการฝืนใจ แต่ถ้าอยากหุ่นดีจริงๆ ลองเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ หากิจกรรมอย่างอื่นที่ช่วยให้คุณมีหุ่นผอมเพรียว แข็งแรง และสนุกไปพร้อม ๆ กัน อย่างเช่น การปั่นจักรยาน กีฬาริมชายหาด ล้างรถ เป็นต้น หรือถ้าไม่อยากออกไปไหน อยู่บ้านว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำจะชวนแฟนหนุ่มเล่นจ้ำจี้ด้วยก็ยังได้นะ อันนี้รับรองหุ่นฟิตแอนด์เฟิร์มทีเดียว ฮา....
 
 
2 ไม่อดอาหารแต่ทานให้มากขึ้น!!!
 
จริง ๆ แล้ว การลดน้ำหนักที่ดีที่สุดคือการกินอาหารให้มากขึ้นต่างหาก เอ๊ะยังไง!! ในอันดับที่ 2 ของทีมงาน toptenthailand เราไม่ได้หมายถึงให้คุณสวาปามนะจ๊ะ เพราะอาหารที่เราแนะนำให้คุณสาว ๆ ทานเพิ่มคือ อาหารจำพวกผักผลไม้ที่เป็นอาหารมากคุณประโยชน์ต่างหากล่ะ ส่วนอาหารทั้งหลายที่คุณชอบก็ยังสามารถทานต่อไปได้ ไม่จำเป็นต้องไปอดๆอยากๆอาหารที่เราอยากจะกินจนขาดใจตาย แค่ลดปริมาณให้น้อยลงนิดนึงก็พอ ไม่เป็นการทำลายความสุขตัวเองและยังช่วยลดน้ำหนักได้ดีอีกด้วย
 
 
1 หยุดขี้เกียจ!!!
 
นี่เลยอันดับที่ 1 ของทีมงาน toptenthailand หลายคนฝันอยากจะมีหุ่นดีเหมือนพวกนางแบบ อยากจะลดน้ำหนักให้ได้ แต่ทำตัวขี้เกียจ!! ไม่เคยออกกำลังกาย บ่นเหนื่อยจะตาย ทำงานก็หนักพอและ กลับบ้านไปนอน ว่างๆก็ดูทีวี เล่นเฟสบุคกับเพื่อนเป็นชั่วโมง เอาขนมมานั่งกินด้วย ปากก็หยุดกินไม่ได้ หยิบๆๆๆ เป็นแบบนี้ทุกวี่ทุกวัน มันจะไปผอมอะไรแม่คู๊ณ!!!! อยากจะหุ่นดีเริ่มต้นง่ายๆไม่ต้องพึ่งมีดหมอ ไม่ต้องพึ่งยาลดความอ้วนให้ตายไว ตั้งใจและคิดกับตัวเองจริงๆจังๆว่า ฉันต้องมีหุ่นที่ผอมเพรียวให้ได้สักวัน มีวินัยกับตัวเอง หยุดขี้เกียจและกลับไปลงมือทำทุกข้อที่แนะนำมา ก็ช่วยให้สาวๆทุกคนมีหุ่นผอมเพรียวแบบทันใจแล้วจ้า ง่ายๆแค่นี้แหล่ะ!! จบ!!

 userfiles/profile-picture/a8ca9517-32af-453b-b341-652d6f221d14/ดูดี1.jpg

Post : 2012-12-17 21:59:10.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  เรื่องของ

 

เรื่องของ "สิว"

ก่อนจะซื้อยารักษาสิว ลองอ่านเรื่องราวความเป็นมา เเละเรื่องราวของ สิว ดูเสียก่อนครับ ^^

สิว คือ การอักเสบเรื้อรังของรูขนและต่อมไขมัน มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็ก ๆ

หัวขาว หรือหัวดำ เป็นตุ่มนูนแดง ตุ่มหนอง หรือตุ่มเนื้อลึกใต้ผิวหนัง พบมากบริเวณหน้า

คอ หน้าอก หลัง ไหล่ หรือต้นแขน มักเป็นในเด็กวัยรุ่น แต่ไม่ได้จำกัดอยู่เท่านั้น

ผู้ใหญ่อายุ 20 - 40 ปีก็พบได้ ในรายที่เป็นชนิดรุนแรง อาจมีอาการเจ็บปวดตามผื่น

แม้ว่าสิวจะไม่ใช่โรคที่ทำให้ถึงกับเสียชีวิต หรือพิการ แต่ก็อาจทิ้งร่องรอยของแผลเป็น

บนใบหน้า เกิดเป็นปมด้อยไปตลอดชีวิตได้


ชนิดของสิว
-สิวอุดตัน หรือ คอมีโดน มี 2 ชนิด คือ สิวหัวปิด (สิวหัวขาว) 
- สิวหัวเปิด (สิวหัวดำ) 
- สิวอักเสบ มีหลายชนิด เช่น ตุ่มแดง 
- ตุ่มหนอง 
- ก้อนบวมแดงใต้ผิวหนัง 
- ถุงหนองหรือฝี 


สาเหตุที่ทำให้เกิดสิว

ฮอร์โมนเพศชายที่พบได้ทั้ง 2 เพศ เป็นตัวการสำคัญที่ไปกระตุ้นต่อมไขมันใต้ผิวหนังให้โตขึ้น

และทำงานมากขึ้น สารไขมันที่ถูกผลิตขึ้นจะรวมตัวกับเซลชั้นขี้ไคล จากผนังท่อกลายเป็นก้อน

เรียกว่า คอมีโดน (comedone) และจะถูกขับออกทางรูขน ทำให้เกิดการกระตุ้นเนื้อเยื่อ

บริเวณรูเปิดของรูขน ให้หนาตัวขึ้นและเกาะตัวกันแน่น ทำให้รูชนนั้นอุดตัน เชื้อแบคทีเรียในรูขนจะเจริญ

และปล่อยสารเคมีบางอย่าง ทำให้ผนังของรูขนรั่ว มีการซึมของสารต่าง ๆ จากรูขนออกสู่เนื้อเยื่อรอบ ๆ

ทำให้เกิดการอักเสบ เป็นตุ่มนูนแดง หรือเป็นหนอง


สาเหตุและปัจจัยชักนำที่ทำให้เกิดสิว 

1. รูเปิดและท่อทางเดินของต่อมไขมันอุดตัน (Ductal hypercornification) ดังนั้นจึงมักพบว่าผู้ที่มีใบหน้ามัน

ผมมัน หรือหนังศีรษะมัน มักจะเกิดสิวได้ง่ายกว่าผู้ที่มีใบหน้าแห้ง 
2. แบคทีเรีย ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียพวก P. acnes บางชนิดเกิดจากการติดเชื้ออื่นๆ แทรกซ้อน 
3. ช่วงใกล้มีประจำเดือน (Premenstrual) ส่วนใหญ่ประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน

จะมีโอกาสเกิดสิวมากกว่าปกติเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน 
4. เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว และผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้าต่างๆ บางคนใช้เครื่องสำอาง

และครีมบำรุงผิวหลายชนิดมากจนเกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง ทำให้ท่อทางเดินต่อมไขมันอักเสบ

และอุดตันทำให้เกิดสิวขึ้นได้ 
5. กรรมพันธุ์ เชื่อว่ากรรมพันธ์มีส่วนเกี่ยวข้องบ้างในการทำให้เกิดสิว บางคนมีคุณพ่อหรือคุณแม่

ที่เคยเป็นสิวมากๆ จนทำให้เกิดรอยแผลเป็นลูกๆ ก็มีโอกาสเป็นสิวมากเช่นเดียวกัน 
6. ยาบางชนิด สามารทำให้เกิดสิวมากขึ้นได้ เช่น ยาคุมกำเนิด, ยาจำพวกสเตียรอยด์

ทั้งแบบชนิดกินและชนิดทา, ฮอร์โมนเพศชาย (androgen) เป็นต้น 
7. ความเครียดวิตกกังวล ความเครียดเป็นบ่อเกิดของสารพัดโรค ทางด้านผิวหนัง

นอกจากจะทำให้แก่เกินวัยแล้วยังทำให้เกิดสิวได้ง่ายเช่นกัน เพราะฉะนั้นถ้าท่านทำงานหนักมากเกินไป

เครียด นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ นอนดึก จะเกิดสิวได้ง่าย 
8.การถู ขัดหน้า พอกหน้า การถู ขัดหน้า พอกหน้า อบไอน้ำ พอกสมุนไพร บำรุงผิวสารพัดแบบนั้น

ถ้าทำมากเกินไปบ่อยครั้งเกินไป จะทำให้ตัวคลุมผิวตามธรรมชาติ (skin barrier) หลุดลอกออกไป

ผิวหน้าจะบางลง และไวต่อสภาวะแวดล้อมต่างๆ ทำให้เกิดการแพ้ ระคายเคือง อักเสบ เกิดเป็นสิวมากขึ้นได้

ดังนั้นจึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ
9.อาหาร หลายคนเชื่อว่าช็อกโกแลตมีส่วนทำให้เกิดสิวได้ ความจริงแล้วไม่เกี่ยวข้องกัน

ส่วนเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์มีส่วนเกี่ยวที่ทำให้เกิดสิวมากขึ้นได้

เช่น พวกเหล้า เบียร์ต่างๆ เพราะทำให้สุขภาพทรุดโทรมสิวจึงเห่อขึ้นได้
10.อากาศร้อน ถ้าคนที่อยู่ในอากาศร้อนและมีเหงื่อมาก มีโอกาสเกิดสิวได้ง่ายกว่าที่มีอากาศเย็นๆ
ฯลฯ 


เมื่อเป็นสิวแล้ว ควรปฏิบัติตนอย่างไร

-จะเห็นว่าสิวไม่ได้เกิดจากฝุ่นละออง หรือความสกปรก ฉะนั้น ไม่จำเป็นต้องล้าง

หรือทำความสะอาดมากเกินไป การล้างหน้าด้วยสบู่ธรรมดา วันละ 1 - 2 ครั้ง

ก็เป็นการเพียงพอ 
-อาหารไม่มีส่วนทำให้เกิดสิว แต่บางคนที่พบว่า อาหารบางชนิด มีความสัมพันธ์กับการเกิดสิวทุกครั้ง

ก็ควรหลีกเลี่ยง 
-เครื่องสำอาง ถ้าจะใช้ควรใช้ประเภทที่ไม่มีไขมัน (oil-free) และควรล้างเครื่องสำอางออกให้หมดทุกวัน

สเปรย์หรือเจลใส่ผม ไม่ควรให้โดนผิวหน้า เพราะอาจทำให้เกิดสิว 
-ห้ามแกะเกาหรือบีบสิวเอง เพราะทำให้การอักเสบเพิ่มขึ้น และมีรอยแผลเป็นมากยิ่งขึ้น
- หลีกเลี่ยงการรบกวนผิว เช่น การขัดหน้าหรือนวดหน้า และการเช็ดถูหน้าแรง ๆ 
-ควรพักผ่อน หรือออกกำลังกายให้พอเหมาะ การอดนอนหรือทำงานหนัก และเครียดเกินไป

ทำให้สิวเป็นมากขึ้น 

-ต้องเข้าใจว่า จุดประสงค์ของการรักษาสิว คือ ป้องกันการเกิดสิวใหม่ และทำให้สิวที่เป็นอยู่

แล้วยุบหายไป โดยไม่เกิดแผลเป็น ฉะนั้น การรักษาสิวจะต้องใช้เวลา แพทย์ผิวหนัง

จะให้การรักษาที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของสิว ยาปฏิชีวนะจะช่วยลดเชื้อแบคทีเรีย

ที่อยู่ในรูขน ทำให้สิวอักเสบลดลง ในวัยที่เป็นสิวง่าย ควรจะทายาละลายการอุดตันเป็นประจำ

เพื่อป้องกันการเกิดสิวใหม่ ควรระลึกเสมอว่า สิวอาจไม่มีการหายที่ถาวร แต่สามารถควบคุมได้

และการรักษาที่ถูกต้อง จะช่วยลดการเกิดแผลเป็นหลังสิวหายแล้ว ได้เป็นอย่างดี 


การรักษาสิว 

หลักในการรักษาสิวนั้นต้องรักษาทั้งด้านจิตใจ, ตัวสิวเอง และร่องรอยจากสิว ควบคู่กันไปด้วย

ที่สำคัญผู้ที่เป็นสิวควรจะทราบว่าสิวต้องใช้เวลารักษาอย่างน้อยประมาณ 4-6 สัปดาห์ขึ้นไป

และอาจใช้เวลารักษานานถึง 12 เดือน

1. กลุ่มยาทา 
-กลุ่มยาทาปฏิชีวนะ เช่น 1% Clindamycin, 2% Erythromycin 
-กลุ่มยาทาก่อนล้างหน้า เช่น 2.5% Benzoyl peroxide, Benzac, Brevoxyl 
-กลุ่มยาทากรดวิตามินเอ เช่น Retin-A, Stieva, Isotrex, Brevoxyl 
-กลุ่มยาทาละลายขุย เช่น Salicylic acid lotion, Sulphur lotion
-กลุ่มอื่นๆ เช่น Differin, Skinoren 


2. กลุ่มยารับประทาน 
-กลุ่มยาปฏิชีวนะ (Antibiotic) ที่ใช้ได้ผลดีคือ Tetracycline, Doxycycline, Minocycline, Erythromycin

และ Bactrim
-กลุ่มยากรดวิตามินเอ บางคนเรียกว่า ยาเม็ดรักบี้เพราะรูปร่างคล้ายเม็ดรักบี้ คือ ยาRoaccutane

(Isotretinoin)ซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งให้ต่อมไขมันทำงานลดลง ทำให้ต่อมไขมันมีจำนวนและขนาดเล็กลง

สิวจึงลดน้อยลงได้ แต่มีผลข้างเคียงหลายประการ เช่น มีผลต่อเด็กในครรภ์ได้จนอาจพิการได้

ทำให้ไขมันในเลือดสูงขึ้น ริมฝีปากแห้งมาก ฯลฯ ยานี้เป็นยาที่ใช้ได้ผลดีในการรักษาสิวที่เป็นรุนแรง

และรักษาด้วยวิธีอื่นๆไม่ได้ผล แต่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์เท่านั้น ไม่ควรซื้อรับประทานเองเด็ดขาด
-ยากลุ่มฮอร์โมน ได้แก่ ยา Diane 35 ใช้ได้ผลดีเช่นกัน แต่ใช้ในผู้หญิงที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปเท่านั้น

ร่วมกับมีข้อบ่งชี้เช่น ผิวมัน เสียงห้าว ขนดก และประจำเดือนผิดปกติ

3. การฉีดยารักษาสิว Intralesional Kenacorte) (ในกรณีที่เป็นสิวหัวช้าง เม็ดใหญ่มาก ที่เป็นรุนแรง

(cystic acne) แพทย์อาจใช้วิธีฉีดยา เข้าไปที่หัวสิวได้เลยโดยตรง ซึ่งจะทำให้สิวยุบหาย

ค่อนข้างเร็วมากภายใน 24 ชม. แต่ค่อนข้างเจ็บพอสมควร วิธีนี้ถ้าไม่ชำนาญหรือฉีดยามากเกินไป

อาจทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดเป็นรอยบุ๋มได้


4. การกดเอาหัวสิวออก (Comedone extraction) ถ้าใช้เครื่องมือที่สะอาดและเทคนิคที่ถูกต้อง

จะทำให้สิวดีขึ้นเร็วในการรักษานั้นแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาเลือกวิธีที่เหมาะสมให้ ซึ่งบางคน

ใช้แต่ยาทาอย่างเดียวก็ได้ แต่บางคนต้องรับประทานยาหรือกดหัวสิวร่วมด้วย เป็นต้น


ข้อแนะนำสำหรับผู้เป็นโรคสิว มีดังนี้ 

1. การล้างหน้า ควรล้างด้วยสบู่อ่อนๆ เช่น สบู่เด็ก ซึ่งประกอบด้วย สารเคมีที่อ่อน

ไม่ระคายเคืองหรือรบกวนผิวซึ่งทำให้เกิดคอมมีโดนหรือสิวอุดตัน หรือเลือกสบู่อ่อน

ที่ใช้สารเคมีที่ผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่ก่อให้เกิดสิว 
2. ไม่ควรล้างหน้า หรือเช็ดหน้าบ่อยๆ ล้างเพียงวันละ 2-3 ครั้งก็เพียงพอ
3. ไม่ควรใช้เครื่องสำอางที่มีผลต่อการทำงานของผิวหนังและต่อมไขมัน เช่น ครีมบำรุงผิว

ครีมนวดหน้า ครีมแก้รอยเหี่ยวย่นที่มีสเตียรอยด์ผสมอยู่ ถ้าจำเป็นต้องใช้ควรเลือกครีม

หรือสารที่ให้ความชุ่มชื้นซึ่งมีส่วนประกอบเป็นสารเคมี ที่ไม่ก่อให้เกิดสิว

โดยทั่วไปชุดเมคอัพ เช่น ลิปสติก แป้ง บรัชออน มาสคาร่า อาขแชโดว และชุดรองพื้นจะไม่ก่อให้เกิดสิว 
4. อย่าบีบ หรือแกะสิว
5. การใช้ยารักษาสิว ต้องระวังยาที่โฆษณาว่ารักษาได้ทั้งสิวและฝ้า เพราะยาพวกนี้

มักผสมสเตียรอยด์ ซึ่งมีคุณสมบัติทำให้สิวอักเสบยุบเร็ว แต่มีภาวะแทรกซ้อนมากมาย

โดยมีการกระตุ้นให้เกิดสิวอุดตันขึ้นมาใหม่มากกว่าเดิม ทำให้สิวไม่หายขาด 
6. กินยาให้ครบและสม่ำเสมอ
7. หากมีปัญหาหรือข้อสงสัยในเรื่องของโรคสิว และแนวทางการรักษา ควรสอบถามจากแพทย์

เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนและถูกต้อง 


การรักษาร่องรอยจากสิว

ได้แก่ รอยดำ รอยแดง แผลเป็นหลุมสิว และแผลเป็นนูน

1. รอยดำสิว เกิดขึ้นตามหลังการหายของสิวอักเสบ มักเป็นอยู่นาน 5-6 เดือนถ้าไม่ได้รับการรักษา

โดยทั่วไปแพทย์จะใช้ยาทาพวก whitening ต่างๆทารอยดำร่วมกับครีมกันแดด

บางคนอาจจะต้องทำทรีทเมนต์พวกIontophoresis หรือ phonophoresis ช่วยก็ได้ 
2. รอยแดงสิว เกิดตามหลังสิวอักเสบบางส่วน การรักษาค่อนข้างยาก ต้องใช้เลเซอร์ชนิดพิเศษ

เช่น Pulse dye laser หรือ แสงความเข้มข้นสูง (IPL)
3. แผลเป็นนูน มักจะใช้การฉีดยาพวก steroid เข้าไปเพื่อให้ยุบลง นอกจากนั้นอาจใช้แผ่นปิด

พวกซิลิโคนเจล เช่น Cica-care ปิดไว้ หรือยาทาแผลเป็นพวก Mederma เป็นต้น
4. แผลเป็นหลุมสิว รักษายากที่สุด อาจจะต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน

การรักษามีหลายวิธี เช่น การแต้มกรด TCA, การลอกผิว (Peeling), การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี

(Microdermabrasion), การกรอผิวด้วยเลเซอร์ (Ablative laser resurfacing), การผ่าตัด,

การกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนด้วยเลเซอร์หรือ IPL เป็นต้นส่วนการตัดสินใจว่าควรรักษาด้วย

วิธีใดนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของแผลเป็นความรุนแรง เครื่องมือที่มีและความชำนาญของแพทย์ผู้ให้การรักษา

ขอขอบคุณข้อมูลดีดีจากคลีนิคผิว : http://www.clinic-skin.com

ข้อมูลเพิ่มเติม:

CREDIT: http://www.aafp.org/afp/20001015/1823.html


ข้อมูลเพิมเติมการรักษาสิว

1. โดยการทา (topical Therapy of Acne Vulgaris) ยาทารักษาสิวนิยมใช้กันอย่างกว้างขวาง

ได้แก่ Benzoyl Peroxide (BP), Retinoic Acid (RA) และพวก Antibiotic เช่น Clindamycin (CL)

ซึ่งชื่อยาที่ได้กล่าวไปนั้น เป็นยาที่มีตามร้านขายยาทั่วไปและมักจะหาซื้อได้ง่าย แต่การใช้งาน

ค่อนข้างมีผลกระทบคือการเกิดการระคายเคืองของผิว 

ซึ่งยารักษาสิวตัวใหม่ที่มีการพัฒนาขึ้นมาเพื่อลดการระคายเคืองที่น้อยลงได้แก่ Isotretinoin (ITN),

Azelaic acid (AZA) ซึ่งเหมาะที่จะรักษา สิวคอมมิโดนและสิวชนิดอักเสบ Glycolic acid ช่วยสลายคอมมิโดน

และให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังที่รอยโรค

2. โดยการรับประทาน (Oral Therapy of Acne Vulgaris) แบ่งออกเป็น 3 พวกด้วยกันคือ
2.1) Antibiotic ยาจำพวกนี้สามารถที่จะรักษาสิวอักเสบปานกลางได้ผลดี แต่ไม่เพียงพอ

ไปลดจำนวนเชื้อ P.acnes ลง แต่สามารถลดกรดไขมันอิสระได้ อีกทั้งยังสามารถ

ไปยับยั้งการหลั่ง Enzymes หลายชนิด ตลอดไปจนยังไปต้าน Chemotaxis, Lymphocyte Function ได้

2.2) Isotretinoin (ITN) เป็น 13-cis-Retinoic acid หรือที่เป็นที่นิยมเรียกกันว่า roaccutane, acnotin

ซึ่งล้วนเป็นชื่อทางการค้าของ ITN ทั้งสิ้น เดี๋ยวนี้ใครเป็นสิวนิดหน่อยก็ต้องขอหมอหรือผู้รักษาเรื่อยไปว่าอยากทาน

หนำซ้ำบางครั้งหมอไม่จ่ายก็ดิ้นรนหาซื้อเองเพื่อจะนำมารับประทาน จริงๆแล้วเรียกว่าอันตรายมากทีเดียวเพราะตัวนี้

ใช้เฉพาะการรักษาสิวอักเสบรุนแรงและสิวชนิดที่ยากต่อการรักษา แน่นอนด้วยความแรงของมันทำให้ผลการรักษา

ย่อมเหนือกว่ายาอื่นทุกตัวแต่อย่างที่บอกไป คือมันใช้รักษาสิวชนิดอักเสบรุนแรงและสิวที่ยากต่อการรักษาเพราะ

ดังนั้นถ้าหากเป็นนิดๆหน่อยๆแล้วใช้ยาตัวนี้ก็ถือว่าไม่คุ้มกับที่เสียดูจากคำเตือนที่ค่อนข้างมาก 

2.3) การใช้ Hormonal Preparation ก็ได้แก่พวกการรับประทาน ออร์โมนต่างๆ พวกนี้การออกฤทธิ์นั้น

จะไปลดการหลั่งซีบุ่มให้น้อยลง แต่อาจมีอาการข้างเคียงคือมีรอบประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ มีอาการบวมน้ำ

หรือการเกิดฝ้าได้ง่าย

ที่มา : http://doodee.ran4u.com/getClubForum.do

 userfiles/profile-picture/a8ca9517-32af-453b-b341-652d6f221d14/ดูดี1.jpg

Post : 2012-12-17 21:57:42.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  จัดการกับสิวบนแผ่นหลัง ง่ายนิดเดียว

 

จัดการกับสิวบนแผ่นหลัง ง่ายนิดเดียว

จัดการกับสิวบนแผ่นหลัง ง่ายนิดเดียว

 

 

     มีผู้หญิงไม่น้อยที่ต้องเผชิญกับปัญหาสิวบนแผ่นหลังแนะนำให้ใช้ ยารักษาสิว ซึ่งถึงแม้ว่าบรรดาสิวเจ้ากรรมมันจะไปผุดในที่ที่ไม่มีคนสังเกตเห็น แต่ก็ทำให้หลายคนกุมขมับมานักต่อนักแล้ว ก็แหงล่ะ เพราะเวลาเป็นสิวบนแผ่นหลังเมื่อไหร่ เจ้าตัวก็ต้องคอยเอาผมมาปิดหลัง หรือใส่เสื้อมิดชิดไปซะทุกทีนี่นา แต่วันนี้ เรามีวิธีที่ง่ายแสนง่ายในการจัดการกับสิวบนแผ่นหลังมาฝากกันแล้วค่ะ ไปดูกันดีกว่าว่า สาว ๆ สามารถดูแลแผ่นหลังให้กลับมาเนียนสวยไร้สิวได้อย่างไร ด้วย 5 ขั้นตอน ดังต่อไปนี้

1. งดใช้ครีมอาบน้ำ แล้วหันมาใช้สบู่ยารักษาสิวที่มีส่วนผสมของซาลิไซลิดเอสิด 2% โดยในระหว่างอาบน้ำให้ใช้ใยบวบขัดผิวไปพร้อม ๆ กับสบู่ จากนั้นล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาด อย่าลืมเอื้อมมือไปแตะหลังดูว่ายังลื่นอยู่หรือเปล่า เพราะไม่อย่างนั้นสิวอาจจะเห่อและไม่หายขาดได้ค่ะ

2. หลังจากอาบน้ำเสร็จ ควรใช้ครีมหรือโลชั่นสูตร noncomedogenic ซึ่งจะช่วยลดความมัน และการเกิดสิวได้

3. ระหว่างวัน ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่โปร่งสบาย ไม่อับชื้น หรือเก็บเหงื่อ เพราะไม่เช่นนั้นสิวอาจจะอักเสบ และผุดขึ้นมากกว่าเดิมอีกค่ะ

4. ก่อนนอนทุกคืน ควรใช้ทรีตเม้นท์ที่มีส่วนผสมของ benzoyl peroxide หรือ BP ที่มีขายตามร้านขายยาทั่วไป ทาบริเวณที่เป็นสิว จะช่วยลดการอุดตัน และวิธีนี้ก็ใช้ได้ผลชงัดมาหลายคนแล้วด้วยนะ

5. เปลี่ยนยาสระผมที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เพราะนั่นอาจเป็นตัวการของสิวที่หลังของคุณนั่นแหละ ซึ่งสำหรับคนที่มีปัญหาสิวที่หลัง ขอให้ลองเปลี่ยนมาใช้แชมพูแบบใส แทนที่ครีมแชมพู เพราะจะล้างออกง่ายกว่า และอุดตันได้ยากกว่าค่ะ

เอาล่ะค่ะ คราวนี้สาวๆ ที่กำลังเผชิญปัญหาสิวบนแผ่นหลัง ก็ไปเริ่มภารกิจพิชิตสิวด้วยยารักษาสิวพร้อมๆ กันเลยดีกว่า

 userfiles/profile-picture/a8ca9517-32af-453b-b341-652d6f221d14/ดูดี1.jpg

Post : 2012-12-17 21:55:35.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  จริงหรือไม่ ?? หน้าหนาว ช่วยให้ผอมได้

 

จริงหรือไม่ ?? หน้าหนาว ช่วยให้ผอมได้

  • อากาศเย็นก็มีประโยชน์ นอนสบายแล้วยังช่วยลดความอ้วนได้อีกด้วย

"ไขมัน" ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นศัตรูของสาวๆ มาแต่ไหนแต่ไร แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นศัตร์ของหนุ่มๆ ไปด้วย เพราะน้องๆ ผู้ชายหลายคนก็เริ่มเลี้ยงพุงกันตั้งแต่วัยรุ่น สงสัยจะเข้าใจเทรนด์ผิด ฮ่าๆ

 

          ปัญหาเรื่องความอ้วน จะรู้สึก และเครียดมากขึ้น ก็ต่อเมื่อจะมีเจ้าก้อนเนื้อมาสิงอยู่รอบเอว รอบต้นขา จนมันแน่นและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แถมยังไม่ยอมไปง่ายๆ หลายคนเลือกกำจัดความอ้วนด้วยวิธีกินยาลดความอ้วนบ้าง ออกกำลังกายแบบหักโหมบ้าง หรือการเข้าซาวน์น่า ใช้ความร้อนลดไขมันบ้าง เพื่อให้ผอมเร็วๆ แต่รู้มั้ยว่า จริงๆ แล้ว ความเย็นก็ช่วยลดความอ้วนได้เหมือนกัน ยิ่งหน้าหนาวแบบนี้ พี่มิ้นท์ว่ายิ่งเข้าทางเลย


             ปกติร่างกายมนุษย์มีเซลล์ไขมันอยู่ 2 ชนิด คือ เซลล์ไขมันชนิดสีขาว มีหน้าที่เก็บพลังงานไว้ให้ร่างกายใช้ และรอคำสั่งให้ปล่อยพลังงานที่สะสมไว้ ดังนั้นถ้ามันถูกสะสมไว้ไม่มีวันถูกเผาผลาญ ก็จะกลายเป็นไขมันส่วนเกินที่ทำให้เราอ้วนนั่นเอง ไขมันชนิดนี้เจอได้ทั่วไป เพราะมันอยู่ใต้ผิวหนัง และรอบอวัยวะต่างๆ ทั้งรอบๆ ขา หรือช่องท้อง เป็นต้น


         ส่วนเซลล์ไขมันอีกชนิดหนึ่ง คือ เซลล์ไขมันสีน้ำตาล มีหน้าที่ต่างจากเซลล์ไขมันสีขาว คือ จะคอยเผาผลาญไขมันให้เป็นพลังงานความร้อน และช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นเวลาอากาศหนาว น้องๆ เคยสังเกตมั้ย คนอ้วนมักจะไม่ค่อยหนาวเพราะประการฉะนี้นี่เอง ส่วนคนผอม ก็ได้แต่นั่งสั่น ปากสั่น มือสั่นกันไป

 

ภาพเซลล์ไขมัน


             เซลล์ไขมันสีน้ำตาลนี้พบครั้งแรกในวัยทารก แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า มันจะลดลงตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น และสิ่งที่สัมผัสได้ต่อมา ก็คือ ความล้น และรูปร่างของร่างกายที่ขยายใหญ่ขึ้น ตามพลังงาน
ที่ถูกสะสมไว้
             ศาสตราจารย์อเล็กซานเดอร์ ไฟเฟอร์ แห่งมหาวิทยาลัยบอนน์ ได้อธิบายว่าไขมันสีน้ำตาลเพียง 50 กรัม สามารถกำจัดไขมันสีขาวได้ถึงปีละ 5 กิโลกรัม แต่ว่าไขมันสีน้ำตาลจะต้องได้รับการกระตุ้นให้ทำงานก่อน นักวิทยาศาสตร์จึงพยายามหาวิธีแปลงไขมันสีขาวให้เป็นพลังงานสีน้ำตาล ซึ่งน่าจะเป็นทางนึงที่แก้ปัญหาโรคอ้วนได้
             วาวเทอร์ ฟอน มาร์เคน ลิกเตนเบลต์ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมาสตริกท์ เชื่อว่า ความเย็นนี่แหละที่เป็นตัวกระตุ้นไขมันสีน้ำตาลตามธรรมชาติ แถมยังได้ทำการทดลองที่น่าสนใจไว้อีกด้วย

 

ภาพสแกน แสดงไขมันสีน้ำตาล (แสดงด้วยสีดำของผู้ชายที่อยู่ในที่ที่มีอากาศหนาวเย็น (ขวา) และชายที่อยู่ที่อุณหภูมิห้อง (ซ้าย)


             จากการทดลอง เขาได้ให้ชายที่มีน้ำหนักเกิน กับ ชายที่มีน้ำหนักปกติ เข้าไปอยู่ในห้องอุณหภูมิ 16 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 2 ชั่วโมง ผลการทดลองที่ออกมาก็คือ ชายที่มีน้ำหนักปกติจะพบว่าเซลล์ไขมันสีน้ำตาลทำงานได้เร็วขึ้นกว่าเดิม สำหรับชายที่มีน้ำหนักเกิน ก็พบว่าอากาศเย็น สามารถกระตุ้นการทำงานของไขมันสีน้ำตาลได้เหมือนกัน เพราะว่าไขมันสีน้ำตาลจะช่วยเผาผลาญไขมันเมื่ออยู่ในสภาพอากาศที่ต่ำลง แต่พอกลับมาอยู่ในอุณหภูมิห้อง พบว่าไขมันสีน้ำตาลนั้นไม่ทำงาน ดังนั้นอาจจะพอพูดได้ว่า ความเย็นสามารถแก้ปัญหาโรคอ้วนได้ด้วยการกระตุ้นให้เซลล์ไขมันสีน้ำตาลทำงาน


            ใครที่คิดจะควบคุมน้ำหนัก ก็คงได้วิธีใหม่ๆ โดยใช้แนวคิดที่ว่า ไขมันก็สามารถกำจัดไขมันได้ คือ การแปลงไขมันสีขาวให้เป็นไขมันสีน้ำตาล เพราะ เซลล์ไขมันสีน้ำตาลมีสรรพคุณอันยอดเยี่ยม ถ้าได้รับการกระตุ้นที่ดี ก็จะกลายเป็นตัวช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี ไม่จำเป็นต้องไปอดอาหารให้ร่างกายอ่อนแอลงอีก ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงอากาศเย็นได้ที่เลย ใครที่คิดจะลดน้ำหนักก็ลองหันมาใช้ชีวิตท่ามกลางความเย็นให้คุ้มหน่อย ถ้ายังมัวแต่นอน(เพราะมันสบาย) ต่อไป นอกจากน้ำหนักจะไม่ลดแล้ว อาจจะทำให้อ้วนมากขึ้นกว่าเดิม 

             

กินอย่างไรให้คนที่น้ำหนักตัวเยอะมั่กมาก ลดน้ำหนักได้อย่างเห็นผลลัพธ์ CLICK

FUCO+กาแฟ Hycafe+Herbal Wave +Grape seed 

 

อ้างอิงข้อมูลจาก

นิตยสาร science illustrated

รูปภาพประกอบจาก

http://www.dek-d.com

http://www.vcharkarn.com/
http://www.surin.rmuti.ac.th/

 userfiles/profile-picture/a8ca9517-32af-453b-b341-652d6f221d14/ดูดี1.jpg

Post : 2012-12-17 21:53:28.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  คนเป็นสิวควรอ่าน....คลิ๊ก

 

คนเป็นสิวควรอ่าน....คลิ๊ก

วันที่: 24-01-2012

 

 ผู้ที่เป็น สิว

มักมีหน้ามัน ซึ่งความมันบนใบหน้าก็สัมพันธ์กับความรุนแรงของสิว แต่ไม่แน่นอนเสมอไป 
สิว บนใบหน้ามีหลายรูปแบบ นอกจาก สิว แล้วยังมีร่องรอยที่หลงเหลือของ สิว ให้เห็นเป็นรอยแดง รอยดำ รอยบุ๋ม หรือ รอยนูนปรากฏให้เห็นด้วย


สิว บนใบหน้า นอกจากจะเป็นที่มาของความน่ารำคาญแล้ว ยังนำมาซึ่งความน่าอับอายและการเสียบุคคลิกภาพทางสังคมอย่างยิ่ง ปัญหานี้ไม่ได้จำกัด เฉพาะในวัยรุ่นเท่านั้น โดยประมาณแล้ว 85% ของประชากรผู้ใหญ่ในช่วงอายุเวลาหนึ่งเคยประสบปัญหานี้แล้วทั้งนั้น 

สิว( Acne )
เป็นโรคของต่อมไขมันซีบาเซียสของผิวหนังที่พบได้บ่อยที่สุด และเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยมากในวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว 

อย่างไรก็ตาม สิวอาจ พบได้ในทารกแรกเกิด (acne neonatorum) หรือเมื่อล่วงเข้าสู่วัยชรา (senile comedones) แล้ว โดยเป็นชายร้อยละ 33 และหญิงร้อยละ 67 สิวจะปรากฏอาการในผู้หญิงช่วงอายุ14-17 ปี และชายช่วงอายุ16-19ปี ความ รุนแรงของสิวจะมากขึ้น 3-5 ปีหลังจากเริ่มเป็นสิว และมักหายไปในช่วงอายุ 20-25 ปี ร้อยละ85 ของผู้ที่เป็น สิวจะเป็นชนิดไม่รุนแรง 
มีเพียงร้อยละ 15 ที่เป็นสิวอักเสบรุนแรง

ผิวเป็นสิว
สภาพ ผิวที่เป็นสิวนี้ จะมีลักษณะเป็นตุ่ม ๆ ติดเชื้อและตุ่มหนอง เป็นได้ทั้งมากและน้อย แต่จะเป็นเม็ดเล็ก ๆ ผิวเป็นสิวนั้นมักจะเกิดขึ้นกับผิวประเภทผิวมัน ส่วนใหญ่แล้วผิวลักษณะนี้อาจแลดูไม่ค่อยสะอาด และไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี จึงพบว่าอาจมีสิวหัวดำ,สิวอุดตันได้ การเป็นสิวนั้นไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคภายในผิว แต่เป็นผลจากปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้
- ฮอร์โมนแอนโดรเจน
- ปริมาณเซลล์โปรตีนเคราทินที่มากเกินไป
- ความหนาของชั้นหนังกำพร้า
- ท่อไขมันของผิว
- การผลิตน้ำมัน
- ปริมาณของแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บนผิวหน้า ที่รู้จักกันในชื่อของ P.Acne

สิวประเภทอื่น ๆ เช่น สิวถุงหนอง (Cystic) และ Rosacea นั้นควรได้รับการรักษาภายใต้ความดูแลของแพทย์

ปัจจัย อื่นบางประการที่สามารถทำให้อาการของสิวแย่ลงได้แก่ น้ำมันส่วนเกิน, การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่เหมาะสมในการกำจัดน้ำมันและสิ่งสกปรกออกจาก ผิว, ฮอร์โมนไม่สมดุล, การผลิตโปรตีนเคราทินที่มากเกิน, การแพ้อาหาร, ขาดวิตามิน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินเอ), ค่า pH ความเป็นกรดของผิวไม่เพียงพอที่จะต่อสู้กับแบคทีเรียบนผิว, สภาพอากาศที่ร้อนชื้น ก็มีส่วนในการกระตุ้นให้เกิดสิวได้มากขึ้น เนื่องจากลักษณะนี้จะทำให้มีปริมาณแบคทีเรียเพิ่มมากขึ้น, การใช้ผลิตภัณฑ์สมานกระชับผิว และผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวแห้งมากเกินไป, การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม, ความเครียด

สบู่ คาลาส 

 userfiles/profile-picture/a8ca9517-32af-453b-b341-652d6f221d14/ดูดี1.jpg

Post : 2012-12-17 21:50:21.0     Forum: บทความน่าสนใจ  >  กินอย่างไรให้คนที่น้ำหนักตัวเยอะมั่กมาก ลดน้ำหนักได้อย่างเห็นผลลัพธ์

 

กินอย่างไรให้คนที่น้ำหนักตัวเยอะมั่กมาก ลดน้ำหนักได้อย่างเห็นผลลัพธ์

วันที่: 24-01-2012

 

 

เมื่อวันที่ 4 เดือนที่ผ่านมา

 

กินอย่างไรให้คนที่น้ำหนักตัวเยอะมั่กมาก ลดน้ำหนักได้อย่างเห็นผลลัพธ์

เพราะมีพนักงานของบริษัท Hylife ที่น้ำหนักตัวเยอะมากเกือบ 100 โล ได้ลองกิน Herbal Wave กับGrape seed อย่างจริงจัง ปรากฏว่า สามารถลดน้ำหนักได้ถึง กิโลกรัมภายในเวลา เดือนครึ่ง โอว!!! พระเจ้าจอร์จ มันสุดยอดมั่่กมากค่ะ กินยังไง สงสัยแล้วใช่ม้ัยล่ะ นี่คือสูตรที่น้องเค้ากินนะคะ

 

วันแรก ตอนเช้าตื่นนอนมาล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็กิน Herbal Wave 1 แก้ว 15 ซีซี ไม่ใช่ซดลงคอเลยนะคะ แนะนำว่าควรอมไว้ที่ลิ้นซัก15 วินาทีแล้วค่อยกลืน จากนั้นตามด้วย Grape seed 2 เม็ด พร้อมน้ำเปล่า และกิน Herbal wave อีกครั้งหลังอาหารมื้อหนักของเค้า แก้วๆ ละ 15 ซีซี

วันที่สองและสามทำเหมือนเดิม

พอเริ่มวันที่ ให้เพิ่มปริมาณของ Herbal Wave จาก 15 ซีซี เป็น 30 ซีซี นะคะ กินเวลาเดิมเลย ทำอย่างต่อเนื่องทุกวัน ไม่ต้องอดอาหารนะคะ

หมายถึง วันนึงต้องกินอาหารให้ครบ มื้อ ด้วยค่ะ ห้ามอดมื้อกินมื้อเด็ดขาด แต่ให้คุมอาหารในแต่ละมื้อแทน เช่นอาจจะกินข้าวน้อยหน่อย กินกับเยอะแทน กินหมูเนื้อๆ แทนที่จะกินเนื้อติดมัน เป็นต้น มิเช่นนั้น ร่างกายคุณแทนที่จะเผาผลาญไขมันให้เกิดพลังงาน แต่ไม่ได้กินอาหารเข้าไป มันก็จะไปดึงมวลกล้ามเนื้อในร่างกายออกมาเผาผลาญแทน น้ำหนักลดจิง แต่ร่างกายจะเหี่ยว ย่น ทรุดโทรมได้ เวลาเข้าโปรแกรมก็จะได้ผลลัพธ์ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ค่ะ

 

จัดเป็นโปรแกรมเลือกตามงบและความต้องการ 

 

โปรแกรมที่ 1 อยากลดเยอะ ลดเร็ว ลดแล้วลดเลยไม่กลับมาอ้วนอีก และเห็นผลชัดเจน ราคา 20,500 บาท Herbal wave 5 Grape seed 5 แถม กาแฟ 2 กล่อง ระยะเวลา 3 เดือน

 

โปรแกรมที่ 2 แบบค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ ลด แต่เห็นผลเหมือนกัน เพียงแค่ช้าหน่อยเท่านั้นเองค่ะ ระยะเวลา 1 เดือน ราคา 5,000 บาท


โปรแกรมที่ 3 ชุดยอดนิยม ราคา 4,900 บาท Herbal Wave 2 ขวด กับ กาแฟ 5 กล่อง


โปรแกรมที่ 4 ชุดทดลอง ราคา 2,900 บาท Herbal Wave 1 ขวด กับ กาแฟ 5 กล่อง

 

จาก พี่สุ

Herbal wave คุณปุ๊ก

 

 

 

พิสูจน์ด้วยการเจอตัวจริง ได้ที่ ออฟฟิศครับ

처음 이전 ... 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9

 

BBB ผลิตภัณฑ์ลดความอ้วน สกัด เผาผลาญ กระชับ

เอาล่ะครับมาทำความรู้จักกับสินค้าลดน้ำหนักที่มีชื่อว่า bbb

Block = สกัด /Burn = เผาผลาญ /Build = กระชับ 

ทีนี้ ทำไมต้อง BBB

*Blok ก็คือการสกัดกั้น ป้องกันการดูดซึมพวกสารอาหารที่เราทานเข้าไปแล้วก็ทำให้เรา

เกิดความอ้วนขึ้นมานะคับ

*Bern ก็คือไปเผาผลาญพวกไขมันที่สะสมเข้าในร่างกายแล้ว กินเข้าไปแล้วทำยังไงล่ะ เอาออกไม่ได้ก็ต้อง

ไปเผาผลาญมันทิ้งออกไปนะคับ

*Build ช่วยให้ผิวเราผอมแบบกระชับนะคับ ไม่ใช่ผอมแบบเหี่ยววๆนะครับ ^^

เลยต้องเป็น blok bern build นะครับ